วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เทศนาธรรมวันที่๒ พฤษภาคม๒๕๕๘

พระครูใบฎีกาชิตวร ธมฺมวโร
นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
นัตถิ สันติ ปรัง สุขังตีติ

ณ  โอกาสบัดนี้อาตมภาพจะแสดงพระสัทธรรมเทศนาในสันติกภาคา  เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองค์ศรัทธาบารมี  ที่บรรดาท่านนริศราทานบดีทั้งหลายที่ได้พร้อมใจกันมาทำบุญประจำปักษ์ คือวันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เป็นวันเสาร์ การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านได้มีความศรัทธาปสาทะ  ความเชื่อ  ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  ตั้งใจมาบำเพ็ญกุศลในจรรยาสัมมาปฏิบัติ  ก็อาศัยที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายมีความเลื่อมใส  ในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ  จึงได้พากันมาปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  เป็นประจำวันพระ  การปฏิบัติของท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำเป็นประจำใจอย่างนี้  องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือว่าเป็น อนุสสติ ถือว่ามีความสำคัญอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนา            คำว่า อนุสสติ  แปลว่า นึกถึง การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน ที่มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เมื่อถึงเวลาที่ใกล้จะถึงวันพระ  คือกาลเวลาที่จะต้องบำเพ็ญกุศล พุทธศาสนิกชนก็คิดว่า วันพระข้างหน้าเราจะทำอะไร จะนำอะไรไปถวายพระเป็นภัตตาหารก็ดี  เป็นปัจจัยก็ดีอย่างนี้องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า  เป็น  จาคานุสสติกรรมฐาน  ความจริงคำว่า  กรรมฐานนี้  จะหลับตาภาวนาก็มี  ไม่ภาวนาเสมอไป  การตั้งใจจะกระทำ นึกเอาไว้ว่าจะกระทำ นึกเอาไว้เป็น อนุสสติ           การที่บรรดาท่านพุทธบริษัทคิดว่า ในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ นึกถึงการถวายจะจัดภัตตาหารไปถวายพระ อย่างนี้เป็น จาคานุสสติกรรมฐาน  นึกถึงการถวายการบริจาคทาน จาคานุสสติกรรมฐาน นี้  องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดากล่าวว่า  ถ้าบุคคลใดเป็นฌานสมาบัติ  องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่าเป็นการชนะความโลภ  เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ก้าวไปสู่พระนิพพาน           คำว่าเป็นกรรมฐานในตอนนี้  แปลว่า  นึกอยู่เสมอว่าตื่นขึ้นมาวันนี้  เราจะมีโอกาสสงเคราะห์บุคคลคน หรือพระ หรือว่าสัตว์เดรัจฉานก็ดี คิดสงเคราะห์ผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นกฎธรรมดาอย่างนี้เรียกว่า จาคานุสสติกรรมฐาน คือนึกว่าจะให้ตลอดเวลาประการที่ 2 บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายคิดว่าจะไปทำบุญที่วัด ในวัดย่อมมีพระ ถ้าคิดว่า ถ้าวัดนั้นเรามีส่วนได้บำรุง ได้สร้างไว้ในพุทธศาสนาจะเป็นปัจจัยมากก็ดี น้อยก็ดี หรือว่าท่านที่ไม่มีปัจจัยทำบุญในการก่อสร้าง แต่ช่วยแรงงานในการก่อสร้าง อย่างนี้ก็ถือว่า ทุกท่านมีอานิสงส์ในวิหารทาน เสมอกัน การคิดว่าจะไปวัดที่เราทำการบำรุงไว้นั้น จัดว่าเป็น วิหารทาน เป็น จาคานุสสติกรรมฐาน เหมือนกัน เป็นอานิสงส์ใหญ่ และต่อไปบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็คิดว่า  วัดที่เราจะไปมีพระพุทธรูปเป็นองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มีพระสงฆ์อยู่ด้วยก็ทำให้จิตคิดว่า  เราจะไปวัดที่มีพระพุทธรูปองค์นั้นที่เราใคร่บูชา  มีพระสงฆ์ที่มีชีวิตอยู่ก็ดี  หรือมีพระสงฆ์ที่เขาทำรูปไว้  เมื่อท่านตายไปแล้วก็ดี  ที่เราคิดว่าบูชาการคิดอย่างนี้  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า  เป็น  พุทธานุสสติกรรมฐาน  เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า  นึกถึงพระพุทธรูป  การนึกถึงพระสงฆ์  เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน คิดว่าการไปวัดคราวนี้เราจะไปฟังเทศน์ จัดเป็น ธัมมานุสสติกรรมฐาน รวมความว่า   บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่จะมาทำบุญ  ก็ได้บุญตั้งแต่เริ่มตั้งใจจะมา  ถ้าเริ่มที่จะมีจิตกุศล  กุสลที่จะมีแก่บุคคลนั้น  ถ้าเริ่มตั้งแต่ว่าจะทำคิดว่าจะหาของมาถวายพระ  เป็น  จาคานุสสติกรรมฐาน  มีบุญใหญ่แล้ว  จิตใจก็ตั้งไว้ไม่เสื่อมคลาย  คิดว่าจะไปวัดที่เราสร้างไว้  อันนี้เป็น  จาคานุสสติกรรมฐาน เหมือนกัน เพราะเป็น วิหารทาน คิดว่าจะไปไหว้พระพุทธรูปที่วัด เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน  นี่บุญเกิดแล้ว  คิดว่าจะไปไหว้พระสงฆ์  ที่มีชีวิตอยู่ก็ดีที่ตายไปแล้วก็ดี  ที่เขาได้ตั้งใจอย่างนี้ เป็น สังฆานุสสติกรรมฐาน คิดว่าจะไปฟังธรรมเป็น ธัมมานุสสติกรรมฐานรวมความว่า  กรรมฐาน  คือความดีที่ทรงไว้  ความดีท่านบรรดาท่านพุทธบริษัทนี้มีทุกประการ  จัดว่าเป็นบุญใหม่  ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทไม่ทิ้งความดีประเภทนี้  คิดไว้อย่างนี้ทุกวันก็ตามที  เมื่อทำไปแล้วก็ตั้งใจกำหนดคิดไว้เสมอว่า  วันนี้  วันนั้น  หรือวันพระทุกที่เราเคยไปทำบุญ เคยไปฟังเทศน์ เคยไปไหว้พระพุทธรูป ไปถวายสังฆทานที่วัด เคยไปไหว้พระสงฆ์ที่วัด  จิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทคิดอย่างใดอย่างหนึ่งได้ประจำใจอย่างนี้ถือว่าเป็นฌานในอนุสติ เมื่อจิตเป็นฌานในอนุสติอย่างนี้เวลาจะตาย  ก็ไม่หลงตาย  ใจของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายมีอารมณ์ผ่องใส มีอารมณ์เป็นกุศล อย่างนี้องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  อย่างน้อยที่สุดความดีของท่านตายไปแล้วไปสู่สวรรค์  ถ้ากำลังใจของบรรดาพุทธบริษัททุกท่านมีความมั่นคง คือจิตคิดมั่นอยู่เสมอ ไม่เสื่อมคลายอย่างนี้ กำลังใจของท่านทั้งหลายเป็นฌานสมาบัติองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงกล่าวว่า  ตายแล้วไปเป็นพรหม  ถ้าบุคคลผู้ใดนิยม ในการบำเพ็ญกองการกุศล  คิดว่าการตายของเราคราวนี้มีเมื่อไหร่ใจของเรามีความต้องการพระนิพพาน ขึ้นชื่อว่า มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดีพรหมโลกก็ดี จะไม่มีสำหรับเรา เรามีความพอใจเฉพาะนิพพาน  ตายไปเมื่อไหร่ก็ไปนิพพานเมื่อนั้น  เพราะจิตเป็นเอกคัคตารมณ์  โดยนิยมอย่างนี้  จึงถือว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ตั้งใจบำเพ็ญกุศลบุญบารมี จัดว่าเป็นโชคใหญ่ขอย้ำอีกสักนิดว่า  ขึ้นชื่อว่าบุญกุศลนั้นไซร้  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า เริ่มมีตั้งแต่ตั้งใจจะทำ  ตามพระบาลีกล่าวว่า  เจตนาหัง  ภิกขเว  ปุญญัง  วทามิ  แปลเป็นใจความว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า การตั้งใจว่าทำหรือตั้งใจทำจริง บุญกุศลเริ่มเกิดตั้งแต่วันตั้งใจที่จะทำต่อนี้ไป  ก็จะนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทศพลเป็นเรื่องสั้นๆ  ที่ปรากฏใน  มงคลทีปนี  มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายสำหรับเรื่องราวนี้ไซร้  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  มีเจตนาให้ท่านพุทธบริษัทตั้งอยู่ในสัจจธรรม  และมีความสงบ  คำว่า  สงบนี้หมายความว่า  จิตสงบ  ถ้าจิตสงบ  กายก็สงบ  วาจาก็สงบ  มันอยู่ที่ใจตัวเดียวนี้  ประการที่ 2  มีสัจธรรมว่ามีวาจาเช่นใดกล่าวไว้ ให้รักษาวาจาเช่นนั้นตลอดไป จึงจะสงบก็รวมความว่า  ในกาลครั้งหนึ่ง  นี่เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์  อย่าถือว่าเป็นนิทานไร้สาระ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  ในสมัยครั้งหนึ่งมีหงส์ 2  ตัว  บินมาจากป่าหิมพานต์  ในป่าหิมพานต์มี  สระโบกขรณี ใหญ่น้ำใสไหลเย็น  มีสัตว์อาศัยอยู่มากอยู่แถบทะเล  ครั้นมาถึงชายทะเล มันก็ไปท่องเที่ยวในสถานที่นั้น ก็บังเอิญพบเต่าใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง เวลานั้นสัตว์ต่อสัตว์ก็พูดกันรู้เรื่อง  สัตว์กับคนก็พูดกันรู้เรื่อง  ที่รู้เรื่องก็เพราะว่า  สัตว์ก็ดี  คนก็ดีต่างคนต่างมีอายุถึง 80,000 ปีถึงตาย เมื่ออยู่นานๆ เข้าไซร้ความสัมผัสแห่งภาษาย่อมรู้ภาษาซึ่งกันและกันเมื่อพญาหงส์เห็นเต่าตัวนั้นเจริญอาหารอยู่ปกติจึงได้ถามว่า ที่สถานที่นี้ อาหารสมบูรณ์พูนสุขอยู่หรือ  เต่าก็ว่า  เป็นสุขดี  หงส์ 2  ตัว  จึงกล่าวว่า  ความจริงในที่นี้ก็มีความสุขดีในอาหาร  แต่ว่าความสุขกายสบายใจ แต่ความเยือกเย็นนั้นสู้ป่าหิมพานต์ไม่ได้ ป่าหิมพานต์นั้นสงัดมาก ไม่มีคนเข้ามายุ่งในสถานที่นั้นในสถานที่นี้เจ้าเป็นเต่าตัวเมีย  เวลาที่เจ้าไข่มานี้  เจ้ามีลูกกับไข่ทุกฟอง  หรือไข่มันหายไปบ้าง  เต่าก็บอกว่า  ไอ้เรื่องไข่นี่มันมีความหวังน้อยเต็มที  ก่อนที่ไข่จะฟักลูก  เราก็พยายามจะขุดดิน ให้เป็นหลุมเป็นบ่อแล้วก็กลบไว้ ไม่ช้าไม่นานก็มาขุดดู ก็หายไป เพราะบางทีมนุษย์นำไป ก็เหลือไว้มั่ง เป็นแต่เพียงเล็กน้อย คือ บางส่วนเท่านั้นเหลือน้อยเต็มที่ พญาหงส์ก็ว่าในสถานที่นี้ก็อันตราย  เพราะว่ามนุษย์ทั้งหลาย  ไร้ความดีไร้สัจธรรม  ไร้ความเมตตาปรานี  ถ้าทางที่ดีไปอยู่ป่าหิมพานต์ดีกว่า  เพราะว่าที่ป่าหิมพานต์ไม่มีคนเดินไปเดินมา ไม่มีอันตราย  สัตว์ทั้งหลายก็อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นสุขสมบูรณ์  มีความเยือกเย็นในสถานที่นั้น  มีสระโบกขรณีใหญ่ น้ำใสเยือกเย็น บัวมี ผลไม้มีอะไรต่างๆ หงส์ก็พรรณนาเรื่อยไป จนกระทั่งเต่ามีความเลื่อมใสในป่าหิมพานต์  เต่าจึงถามกับพญาหงส์ว่า  ก็ขาเรามันสั้นแค่นี้  ห่างจากนี้ไปป่าหิมพานต์มันใกล้หรือไกลแค่ไร พญาหงส์จึงตอบว่า ห่างจากนี้ไปป่าหิมพานต์ 300 โยชน์ เต่าเกือบจะเป็นลม 300 โยชน์ ไอ้เต่าก็บอกว่า ทางโยชน์เดียว เต่าเดิน 3 วันอยู่แล้ว ไอ้ทาง 300  โยชน์  เต่าจะเดินกี่วัน  พญาหงส์บอกว่าไปครู่เดียวก็ถึงฉันบินมาจากป่าหิมพานต์  จากสระโบกขรณีมาถึงที่นี้โดยไม่ต้องพักเลย เต่าก็บอกว่าแกมีปีก ฉันมีแต่ขา พญาหงส์ถามว่า ท่านอยากไปจริงๆ หรือ เต่าก็บอกว่า ฉันอยากจะไป พญาหงส์ก็บอกว่า ท่านจะรักษาสัจวาจาได้ไหม เต่าก็บอกว่า ได้ เอาไงก็ได ขอให้พาไปก็แล้วกัน พญาหงส์จึงบอกว่า ท่านจงรักษาสัจจะไว้อย่างหนึ่งคือ ท่านจะต้องไม่พูด เมื่อไปกับเรา จนกว่าจะถึงที่ที่เราให้พูดได้ พญาเต่าถามว่า  ทำอย่างไร  หงส์ก็ตอบว่า  ฉันจะพาท่านเหาะไป  เต่าก็ว่าฉันไม่มีปีกจะเหาะไปได้อย่างไร หงส์บอกว่า ฉันจะนำไม้มาท่อนหนึ่ง ฉัน 2 ตัวจะคาบหัวตัวหนึ่งท้ายตัวหนึ่ง ท่านจงคาบตรงกลางไม้  เราจะบินพาท่านไปสระโบกขรณีสักครู่หนึ่งก็ถึง  พญาหงส์ 2  ตัว  ก็นำไม้มา 1  ท่อน  ความจริงพญาหงส์ก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง หงส์ตัวหนึ่งเป็นพระพุทธเจ้า หงส์อีกตัวหนึ่งเป็น พระอานนท์ พญาหงส์ 2 ตัวจึงนำไม้มาท่อนหนึ่ง ซึ่งเป็นไม้เล็กๆ  สามารถจะรับน้ำหนักเต่าได้  จึงได้บอกให้เต่าคาบไม้ตรงกลาง  เมื่อเต่าคาบไม้แล้ว พญาหงส์จึงกล่าวว่า  ต่อนี้ไปห้ามเจ้าเปิดปาก  ห้ามพูดเด็ดขาด  เราจะพาเจ้าบินไป  ถ้าเจ้าพูดเมื่อไหร่ ก็จะตกลงมา เมื่อนั้น เต่าปล่อยไม้ประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า ฉันขอให้สัญญาว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าท่านจะบอกให้พูดจึงจะพูด  มิฉะนั้นเราจะไม่ยอมพูดเป็นอันว่า  พญาหงส์ 2  ตัว  ก็คาบไม้ทั้งหัวและท้าย  เต่าก็คาบตรงกลาง  พากันเหาะไป  พญาเต่าบินไปในอากาศ  ขณะที่บินไม่ถึงครึ่งทาง พญาหงส์ก็บินสูงไม่ได้ เพราะเต่าตัวหนัก ก็บินไปแค่เลยยอดไม้ไม่มากนัก บังเอิญอย่างยิ่งในระหว่างทาง  เจ้าเด็กชาวบ้านที่เลี้ยงควายอยู่กลางทุ่งนาเห็นพญาหงส์พาเต่าเหาะมา  ก็ต่างคนก็ร้องว่า  เต่าเหาะโว้ย  เต่าเหาะ  ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน  ตั้งแต่เกิดมาจากโคตรพ่อ  โคตรแม่เราก็ดี  วันนี้เต่ามีความอัศจรรย์เหาะได้  ไอ้เต่าเมื่อเด็กพูดมากๆ  เข้ามันก็รำคาญใจ ถ้าปากจะด่าเด็กเข้าว่า อ้ายเด็กจัญไร มันพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง พออ้าปากเข้า เต่ามันก็ตกลงมาตายเป็นอันว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เต่าในสมัยนั้นคือ พระเทวทัต ในสมัยนี้  เป็นคนที่ไร้สัจจธรรม  องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  จึงกล่าวกับภิกษุว่า  ภิกขเว  ดูกร  ภิกษุทั้งหลาย นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี การที่เต่าต้องตาย เพราะการอ้าปากอย่างนี้ก็เพราะเต่าไร้สัจจธรรมเราได้ให้สัญญาแก่เต่าแล้วว่า จงอย่าพูด เต่าก็ได้ให้สัญญาแล้ว แต่เพราะอาศัยจิตของเขา ไร้ความดี ไร้ความสงบ ไร้สัจจธรรมที่กำหนดไว้ เต่าจึงตกลงมาตายฉะนั้น  องค์สมเด็จพระชินศรีตรัสว่า  มโนปุพพังคมา  ธัมมา  มโนเสฏฐา  มโนมยา  แปลว่า  ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า  มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ เราจะทำดีหรือชั่วก็อยู่ที่จิต ถ้าจิตคิดดี เราก็ทำดี ถ้าจิตคิดชั่ว เราก็ทำชั่ว ถ้าจิตคิดดีปากก็พูดดีถ้าจิตคิดชั่ว  ปากก็พูดชั่ว  ที่นี้ความชั่วมันหลั่งไหลมาทางกายก็ดี  ทางปากก็ดีแสดงว่า  คนประเภทนี้มีความเลวเกินอัตรา มันยับยั้งไว้ในใจไม่ได้ มันล้นจากใจไหลมาหาปากที่นี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงได้สรุปในบาตรคาถาว่า  นัตถิสันติ ปรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี เอาละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินศรีเวลานี้ก็หมดเวลาพอดี ต่อนี้ไปอาตมาก็ขอยุติพระสัทธรรมเทศนา ลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้          ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้  อาตมขอตั้งสัตยาธิษฐาน  อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย  มีพระพุทธรัตนะ  ธรรมรัตนะ  สังฆรัตนะ  ทั้ง จงขอดลบันดาลบรรดาพุทธบริษัททุกๆ  ท่าน  มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัย  ทั้ง ประการ  คือ  อายุ วรรณะ  สุขะ  พละ  และปฏิภาณ  หากทุกท่านมีความประสงค์สิ่งใด  ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาทุกประการ  อาตมรับประทานวิสัชนาในสันติกคาถาก็ขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เทศนาธรรม๑๗กุมภาพันธ์๒๕๕๘

นะโมตสฺส ภะคะวะโต  อะระหะโต สมฺมาสมฺพุท ธสฺส
สุโข ปุญญสฺส อุจโยติ
          ณ โอกาสบัดนี้ อาตมาจักแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงความดี แห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ธรรมแห่งองค์สมเด็จพระชินศรี ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด เพื่อประดับปัญญาแห่งพุทธบริษัททั้งหลาย พอสมควรแก่เวลาจึงจะขอยุติการเทศนาลง ดังพุทธศาสนาสุภาษิตที่ได้อัญเชิญไว้ในเบื้องต้น ว่า
สุโข ปุญญสฺส อุจโย
แปลความว่า การสั่งสมบุญสั่งสมกุศล จะนำมาซึ่งความสุขแห่งตน

            หลังจากที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเทศนาไว้หลายพระสูตรด้วยกัน ที่นำมาซึ่งการฟังพระธรรมเทศนาให้เกิดบุญเกิดกุศล อาตมาได้ไปจาริกแสวงบุญ ยังประเทศอินเดีย-เนปาล ในอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงได้ทราบความจริงหลายประการ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ให้ทุกท่านได้ศึกษาและหาความรู้ไปด้วยกัน หลายๆคนคิดว่าการไปยังประเทศอินเดียนั้นไปเพื่อเที่ยวเพื่อความสนุกสนาน แต่การไปยังอินเดียนั้นทำให้ได้ศึกษาในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น พระพุทธเจ้าได้แนะนำสั่งสอนชาวอินเดียในเรื่องต่างๆมากมายจนมีผู้บรรลุพระโสดาบันก็เยอะแยะมากมาย ในสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์   พระเทวทัตพร้อมด้วยพระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัตต์ เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลขอวัตถุ ๕ ประการ ดังนี้ (๑) ภิกษุควรอยู่ป่าตลอดชีวิต (๒) ภิกษุควรเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต (๓) ภิกษุควรถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต (๔) ภิกษุควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต(๕)ภิกษุไม่ควรฉันปลาและเนื้อ
พระพุทธตรัสห้ามว่า  อย่าเลยเทวทัตต์ ภิกษุใดปรารถนาอยู่ป่าก็จงอยู่ป่า ความว่าการถือธุดงค์ในป่านั้นต้องเป็นภิกษุผู้ที่ปรารถนาที่จะทำเท่านั้น เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงนึกถึงภิกษุที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ ภิกษุผู้ที่ไม่พร้อมจะอยู่ในป่าจึงสั่งห้ามไม่อนุญาต ภิกษุใดปรารถนาอยู่บ้านก็จงอยู่ บ้าน ภิกษุใดปรารถนาเที่ยวบินฑาตรก็จงเที่ยวบิณฑบาต เพราะเหตุหลายประการที่ภิกษุบางรูปไม่สามารถออกบินฑบาตรได้จึงไม่อนุญาตให้ภิกษุต้องถือเที่ยวบินฑบาตรเป็นนิจ ภิกษุใดปรารถนาในกิจนิมนต์ก็จงยินดีการนิมนต์ ภิกษุใดปรารถนาถือผ้าบังสุกุลก็จงถือผ้าบังสุกุล ภิกษุใดปรารถนาผ้าคฤหบดีนำมาถวายก็จงยินดีผ้า คฤหบดี เราอนุญาตรุกขมูล(การอยู่โคนไม้)ตลอด ๘ เดือน(นอกฤดูฝน) เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ (๑)ไม่ได้เห็น (๒)ไม่ได้ยิน (๓)ไม่ได้รังเกียจ เมื่อพระพุทธเจ้าไม่อนุญาตตามที่พระเทวทัตร้องของ จึงป่าวประกาศว่าพระพุทธเจ้านั้น ไม่เคร่งครัด ปฏิบัติไม่ดี ใช้เหตุเหล่านี้เป็นข้ออ้างทำลายพระพุทธเจ้าเพื่อให้ภิกษุทั้งหลายนั้น เห็นว่าตนเองเคร่ง จึงทำให้ภิกษุ เมืองเวสาลีผู้บวชเข้ามาใหม่ ยังไม่รู้ในพระธรรมวินัยศึกษาพระธรรมยังไม่ถ่องแท้ จำนวน๕๐๐ เดินตามพระเทวทัต กาลนั้นมีพระสาลีบุตรและพระโมคลานะได้ติดตามพระเทวทัตไปด้วย พระเทวทัตเกิดหลงดีใจว่า แม้แต่พระอรหันต์ผู้หลุดพ้นยังเดินตามตน เมื่อนั่นพระเทวทัตได้เทศนาธรรมให้ภิกษุ๕๐๐นั้นฟังว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรมอันเราแสดงดีแล้วจึงทำให้พระสาลีบุตรและพระโมคคัลลานะยังต้องเดินตามเรามา เมื่อแสดงธรรมจบแล้วด้วยความเชื่อใจพระสาลีบุตรและพระโมคคัลลนะจึงสั่งให้ทั้งสองแสดงธรรมแทนตนเอง แล้วพระเทวทัตก็นอนหลับไป พระโมคลานะและพระสาลีบุตร ได้แสดงธรรมจบทำให้พระบวชใหม่ทั้ง๕๐๐ เห็นในธรรมชัดเจนจึงกลับไปหาพระพุทธเจ้าดังเดิม เหลือเพียงไม่กี่รูปที่อยู่กับพระเทวทัตต่อ พระเทวทัตตื่นขึ้นมาเห็นสาวกของตนหายไปแทบหมดสิ้น ก็ตกใจ กระวนกระวายจนทำให้ร่างกายทรุดลง ต่อมาเมื่อป่วยหนักขึ้น จึงเกิดความสำนึกผิด จึงคิดอยากจะกลับไปกราบขอขมากับพระพุทธเจ้า จึงให้สาวกที่เหลือของตนพาตนเองไปพบพระพุทธเจ้า เมื่อเดินทางมาถึงหน้าพระเชตวันมหาวิหาร จึงหยุดเพื่อที่จะฉันน้ำ ทันใดที่เท้าทั้งสองเหยียบลงสู่พื้นดิน ปรากฏว่าพื้นดินแยกออกเป็นทางดึงดูดพระเทวทัตลงไปยังอเวจีมหานรก เนื่องจากพระเทวทัตได้ทำอนัตริยกรรม กรรมอันหนัก ๕ ประการ คือการ ยุยงให้พระเจ้าอชาติศรัตตรูฆ่าบิดาของตนเอง ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด และมีจิตใจริสยาในพระพุทธเจ้า ผลกรรมของพระเทวทัตคือจะต้องตกสู่อเวจีมหานรกสถานเดียว แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่สามารถช่วยเหลือได้ ในเรื่องของพระเทวทัตนี้ นำมาเทศนาให้กับพุทธบริษัทได้ฟังไว้เพื่อการปฏิบัติบำเพ็ญ ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ได้อัญเชิญยกไว้ในเบื้องต้น ว่า สุโข ปุญญัสสะอุจโย การสั่งสมบุญสั่งสมกุศล นำมาซึ่งความผาสุข ความเจริญแห่งตน ความจริงในพุทธกาลนั้นมีผู้ที่ถูกธรณีสูป ถึง๕ คนด้วยกันแต่เนื่องด้วยเวลาการแสดงพระธรรมเทศนาก็ถึงเวลาอันสมควรจะหยิบยกมาเทศนาให้ฟังในคราวถัดไป สำหรับวันนี้อาตมาก็ขออารธนาคุณพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงเป็นที่พึงให้แก่สาธุชนทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยจตุรพิศพรทั้ง๔ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิพาล ธรรมสารสมบัติ ครบถ้วนเทอญฯ ขอเจริญพร เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

เทศนาธรรม๑๑เมษายน๒๕๕๘

พระครูใบฎีกาชิตวร  ธมฺมวโร
แสดงพระธรรมเทศนา
ในวันที่๑๑เมษายน๒๕๕๘
ณ โอกาสบัดนี้อาตมาจักแสดงพระธรรมเทศนาพรรณนาถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับปัญญาบารมีของสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยอัญเชิญยกพุทธศาสนสุภาษิต ว่า
กาละคะตัญฺจะ นะ หาเปติ อตฺถํ
คนขยัน พึงไม่ให้ประโยชน์ที่มาถึงแล้วผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
สมัยนึงในเมืองพาราณสี มีคนอยู่๒ คน ชื่อว่า ช่างนาคะ และช่างจุนทะ เป็นช่างเททอง เขาทั้ง๒คนถูกว่าจ้างให้ไปทำงานในมหาราชวัง ช่างนาคะเป็นคนขยันและไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น จึงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง เขามีความละเอียดอ่อนในการลงรักปิดทอง ทั้งพระราชวังล้วนมีความสวยงามในศิลปะที่นายช่างนาคะไปลงมีทำ ส่วนนายช่างจุนทะ มีความขี้เกียจเดี๋ยวทำเดี๋ยวหยุด ชอบเอาเปรียบผู้อื่น เมื่อครั้นที่งานเสร็จลุล่วงตามเป้าหมาย พระราชาได้มอบรางวัลให้นายช่างทั้งสองให้เลือก๒ อย่างคือข้าวเปลือก กับข้าวสาร นายช่างจุนทะด้วยความขี้เกียจ จึงคิดว่า ถ้าเอาข้าวเปลือก คงจะต้องเอาไปสี คงเสียเวลา จึงเลือกข้าวสาร ส่วนนายช่างนาคะ เขามีความคิดต่างกัน เขาคิดว่า ถ้านำข้าวสารไป เมล็ดข้าวสารถูกขัดเกลาอย่างดี คงไม่สามมารถที่เจริญงอกงามออกมาใหม่ได้ จึงเลือกข้าวเปลือกไป เวลาผ่านไป ไปมีขบวนรถม้ายาวเดินทางผ่านมายังหน้าบ้านของนายช่างจุนทะผู้เลือกข้าวสาร นายช่างจุนทะมีความแปลกใจทำไมขบวนรถม้านี้ มีคนนั่งในเสลี่ยงหน้าตาคุ้นๆจึงได้เขาไปทักเมื่อเห็นหน้าชัดเจน จึงได้รู้ว่า คนที่นั่งในเสลี่ยงนั้นคือนายช่างนาคะผู้เลือกข้าวเปลือก เมื่อสอบถามจนแน่ใจจึงเชิญเขามานั่งพักที่ในบ้านและสอบถามต่อไปว่า ท่านเป็นช่างเททองเหมือนกัน เหตุใดจึงมีความร่ำรวยเกิดขึ้น แก่ครอบครัวของท่าน นายช่างนาคะจึงเล่าให้นายช่างจุนทะฟังว่า หลังจากที่เขาได้รับรางวัลจากพระราชา เขาได้เลือกข้าวเปลือก ซึ่งข้าวเปลือกในพระราชวังนี้ เป็นข้าวเปลือกพันธุ์ดี เมื่อนำไปหว่าน จึงเกิดผลผลิตขึ้นมากมาย เขานำข้าวเหล่านั้นไปปลูกและนำไปขายจึงทำให้ตนเองมีทั้งเงิน มีทั้งคนงาน และมีสมบัติเกิดขึ้นมากมาย จนกลายเป็นพ่อค้าขายส่งข้าว และเปิดโรงเรียนสอนให้คนเป็นช่างทอง เมื่อมีงานเททองเขามาก็แค่ส่งลูกน้องไปทำ ไม่ต้องเหนื่อยอีก เมื่อสนทนาไปนายช่างนาคะก็ได้ถามต่ออีกว่า ท่านก็ได้ข้าวจากพระราชวังเหมือนกันเหตุใดท่านจึงยากจนเหมือนเดิม และยังคงทำงานอยู่ตัวคนเดียว นายช่างจุนทะจึงตอบว่า ตัวของข้าด้วยความขี้เกียจจึงเลือกข้าวสาร ซึ่งนำกลับมาหุงกินได้เลยและเมื่อมีข้าวสารแล้ว ก็ไม่รับงานเพราะคิดว่ามีข้าวกินแล้วจึงหยุดทำงานเมื่อเวลาผ่านไปจึงทำให้ข้าวสารที่ได้มาหมดไปทีละน้อยและเมื่อข้าวสารหมดไปแล้วจึงได้กลับมาทำงานอีกครั้ง แต่ด้วยความหยุดงานไปนาน จึงไม่ค่อยมีคนมาจ้างเพราะคนจ้างเขาคิดว่าไม่ได้รับงานแล้วจึงไปจ้างช่างคนอื่น ซึ่งช่างที่เกิดขึ้นใหม่นั้นมีฝีมือดีกว่า เพราะเหตุนี้จึงทำให้ตนเองยังจน และยากไร้  นายช่างนาคะจึงตักเตือนนายช่างจุนทะว่า เหตุเพราะความขี้เกียจของท่านจึงทำให้ตนเองเดือดร้อน ผู้จะมีกินได้นั้นต้องรู้จักทำงาน ผู้จะรวยได้นั้นต้องรู้จักประมาณตน ผู้ที่จะมีความสบายนั้น ต้องรู้จักเรียนรู้มีความคิดที่ไกล เพราะท่านคิดเพียงว่าท่านหิว ท่านต้องกินก่อน บำรุงตนให้มีความสบายก่อน พออาหารหมดค่อยหา จึงทำให้เวลาของท่านที่มีอยู่หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ คนทั้งหลายเกิดมาล้วนแล้วต้องทำงานเพื่อแลกกับอาหารเพื่อแลกกับความอิ่มท้องของตน แต่ความอิ่มนั้นก็ล้วนไม่จีรังยั่งยืนสิ่งที่อยู่มั่นคงนั้นก็คือความขยัน ใครมีความขยันตั้งแต่เด็ก อนาคตย่อมมีความสบายในเบื้องหน้าไม่ทุกข์จนแก่จนเฒ่า

ในวันนี้อาตมาใช้เวลาในการบรรยายพระธรรมเทศนาเป็นเวลาอันสมควร แก่เวลา ขอยุติการเทศนาไว้เพียงเท่านี้ ......เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้