พระครูใบฎีกาชิตวร ธมฺมวโร
แสดงพระธรรมเทศนา
ในวันที่๑๑เมษายน๒๕๕๘
ณ
โอกาสบัดนี้อาตมาจักแสดงพระธรรมเทศนาพรรณนาถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อเป็นเครื่องประดับปัญญาบารมีของสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
โดยอัญเชิญยกพุทธศาสนสุภาษิต ว่า
กาละคะตัญฺจะ นะ หาเปติ อตฺถํ
คนขยัน พึงไม่ให้ประโยชน์ที่มาถึงแล้วผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
สมัยนึงในเมืองพาราณสี
มีคนอยู่๒ คน ชื่อว่า ช่างนาคะ และช่างจุนทะ เป็นช่างเททอง
เขาทั้ง๒คนถูกว่าจ้างให้ไปทำงานในมหาราชวัง
ช่างนาคะเป็นคนขยันและไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น จึงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง
เขามีความละเอียดอ่อนในการลงรักปิดทอง
ทั้งพระราชวังล้วนมีความสวยงามในศิลปะที่นายช่างนาคะไปลงมีทำ ส่วนนายช่างจุนทะ
มีความขี้เกียจเดี๋ยวทำเดี๋ยวหยุด ชอบเอาเปรียบผู้อื่น
เมื่อครั้นที่งานเสร็จลุล่วงตามเป้าหมาย
พระราชาได้มอบรางวัลให้นายช่างทั้งสองให้เลือก๒ อย่างคือข้าวเปลือก กับข้าวสาร นายช่างจุนทะด้วยความขี้เกียจ
จึงคิดว่า ถ้าเอาข้าวเปลือก คงจะต้องเอาไปสี คงเสียเวลา จึงเลือกข้าวสาร
ส่วนนายช่างนาคะ เขามีความคิดต่างกัน เขาคิดว่า ถ้านำข้าวสารไป
เมล็ดข้าวสารถูกขัดเกลาอย่างดี คงไม่สามมารถที่เจริญงอกงามออกมาใหม่ได้ จึงเลือกข้าวเปลือกไป
เวลาผ่านไป
ไปมีขบวนรถม้ายาวเดินทางผ่านมายังหน้าบ้านของนายช่างจุนทะผู้เลือกข้าวสาร
นายช่างจุนทะมีความแปลกใจทำไมขบวนรถม้านี้
มีคนนั่งในเสลี่ยงหน้าตาคุ้นๆจึงได้เขาไปทักเมื่อเห็นหน้าชัดเจน จึงได้รู้ว่า
คนที่นั่งในเสลี่ยงนั้นคือนายช่างนาคะผู้เลือกข้าวเปลือก
เมื่อสอบถามจนแน่ใจจึงเชิญเขามานั่งพักที่ในบ้านและสอบถามต่อไปว่า
ท่านเป็นช่างเททองเหมือนกัน เหตุใดจึงมีความร่ำรวยเกิดขึ้น แก่ครอบครัวของท่าน
นายช่างนาคะจึงเล่าให้นายช่างจุนทะฟังว่า หลังจากที่เขาได้รับรางวัลจากพระราชา
เขาได้เลือกข้าวเปลือก ซึ่งข้าวเปลือกในพระราชวังนี้ เป็นข้าวเปลือกพันธุ์ดี
เมื่อนำไปหว่าน จึงเกิดผลผลิตขึ้นมากมาย
เขานำข้าวเหล่านั้นไปปลูกและนำไปขายจึงทำให้ตนเองมีทั้งเงิน มีทั้งคนงาน
และมีสมบัติเกิดขึ้นมากมาย จนกลายเป็นพ่อค้าขายส่งข้าว
และเปิดโรงเรียนสอนให้คนเป็นช่างทอง เมื่อมีงานเททองเขามาก็แค่ส่งลูกน้องไปทำ
ไม่ต้องเหนื่อยอีก เมื่อสนทนาไปนายช่างนาคะก็ได้ถามต่ออีกว่า
ท่านก็ได้ข้าวจากพระราชวังเหมือนกันเหตุใดท่านจึงยากจนเหมือนเดิม
และยังคงทำงานอยู่ตัวคนเดียว นายช่างจุนทะจึงตอบว่า ตัวของข้าด้วยความขี้เกียจจึงเลือกข้าวสาร
ซึ่งนำกลับมาหุงกินได้เลยและเมื่อมีข้าวสารแล้ว
ก็ไม่รับงานเพราะคิดว่ามีข้าวกินแล้วจึงหยุดทำงานเมื่อเวลาผ่านไปจึงทำให้ข้าวสารที่ได้มาหมดไปทีละน้อยและเมื่อข้าวสารหมดไปแล้วจึงได้กลับมาทำงานอีกครั้ง
แต่ด้วยความหยุดงานไปนาน
จึงไม่ค่อยมีคนมาจ้างเพราะคนจ้างเขาคิดว่าไม่ได้รับงานแล้วจึงไปจ้างช่างคนอื่น
ซึ่งช่างที่เกิดขึ้นใหม่นั้นมีฝีมือดีกว่า เพราะเหตุนี้จึงทำให้ตนเองยังจน
และยากไร้
นายช่างนาคะจึงตักเตือนนายช่างจุนทะว่า
เหตุเพราะความขี้เกียจของท่านจึงทำให้ตนเองเดือดร้อน ผู้จะมีกินได้นั้นต้องรู้จักทำงาน
ผู้จะรวยได้นั้นต้องรู้จักประมาณตน ผู้ที่จะมีความสบายนั้น
ต้องรู้จักเรียนรู้มีความคิดที่ไกล เพราะท่านคิดเพียงว่าท่านหิว ท่านต้องกินก่อน
บำรุงตนให้มีความสบายก่อน พออาหารหมดค่อยหา
จึงทำให้เวลาของท่านที่มีอยู่หมดไปโดยเปล่าประโยชน์
คนทั้งหลายเกิดมาล้วนแล้วต้องทำงานเพื่อแลกกับอาหารเพื่อแลกกับความอิ่มท้องของตน
แต่ความอิ่มนั้นก็ล้วนไม่จีรังยั่งยืนสิ่งที่อยู่มั่นคงนั้นก็คือความขยัน
ใครมีความขยันตั้งแต่เด็ก อนาคตย่อมมีความสบายในเบื้องหน้าไม่ทุกข์จนแก่จนเฒ่า
ในวันนี้อาตมาใช้เวลาในการบรรยายพระธรรมเทศนาเป็นเวลาอันสมควร
แก่เวลา ขอยุติการเทศนาไว้เพียงเท่านี้ ......เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น