นะโมตสฺส
ภะคะวะโต อะระหะโต สมฺมาสมฺพุท ธสฺส
สุโข ปุญญสฺส
อุจโยติ
ณ
โอกาสบัดนี้ อาตมาจักแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงความดี แห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา
ธรรมแห่งองค์สมเด็จพระชินศรี ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด เพื่อประดับปัญญาแห่งพุทธบริษัททั้งหลาย
พอสมควรแก่เวลาจึงจะขอยุติการเทศนาลง
ดังพุทธศาสนาสุภาษิตที่ได้อัญเชิญไว้ในเบื้องต้น ว่า
สุโข ปุญญสฺส
อุจโย
แปลความว่า
การสั่งสมบุญสั่งสมกุศล จะนำมาซึ่งความสุขแห่งตน
หลังจากที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ทรงเทศนาไว้หลายพระสูตรด้วยกัน ที่นำมาซึ่งการฟังพระธรรมเทศนาให้เกิดบุญเกิดกุศล
อาตมาได้ไปจาริกแสวงบุญ ยังประเทศอินเดีย-เนปาล
ในอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงได้ทราบความจริงหลายประการ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
ให้ทุกท่านได้ศึกษาและหาความรู้ไปด้วยกัน หลายๆคนคิดว่าการไปยังประเทศอินเดียนั้นไปเพื่อเที่ยวเพื่อความสนุกสนาน
แต่การไปยังอินเดียนั้นทำให้ได้ศึกษาในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น
พระพุทธเจ้าได้แนะนำสั่งสอนชาวอินเดียในเรื่องต่างๆมากมายจนมีผู้บรรลุพระโสดาบันก็เยอะแยะมากมาย
ในสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ พระเทวทัตพร้อมด้วยพระโกกาลิกะ
พระกฏโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัตต์ เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์
กราบทูลขอวัตถุ ๕ ประการ ดังนี้ (๑) ภิกษุควรอยู่ป่าตลอดชีวิต (๒)
ภิกษุควรเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต (๓) ภิกษุควรถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต (๔)
ภิกษุควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต(๕)ภิกษุไม่ควรฉันปลาและเนื้อ
พระพุทธตรัสห้ามว่า อย่าเลยเทวทัตต์ ภิกษุใดปรารถนาอยู่ป่าก็จงอยู่ป่า
ความว่าการถือธุดงค์ในป่านั้นต้องเป็นภิกษุผู้ที่ปรารถนาที่จะทำเท่านั้น
เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงนึกถึงภิกษุที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ ภิกษุผู้ที่ไม่พร้อมจะอยู่ในป่าจึงสั่งห้ามไม่อนุญาต
ภิกษุใดปรารถนาอยู่บ้านก็จงอยู่ บ้าน ภิกษุใดปรารถนาเที่ยวบินฑาตรก็จงเที่ยวบิณฑบาต
เพราะเหตุหลายประการที่ภิกษุบางรูปไม่สามารถออกบินฑบาตรได้จึงไม่อนุญาตให้ภิกษุต้องถือเที่ยวบินฑบาตรเป็นนิจ
ภิกษุใดปรารถนาในกิจนิมนต์ก็จงยินดีการนิมนต์ ภิกษุใดปรารถนาถือผ้าบังสุกุลก็จงถือผ้าบังสุกุล
ภิกษุใดปรารถนาผ้าคฤหบดีนำมาถวายก็จงยินดีผ้า คฤหบดี
เราอนุญาตรุกขมูล(การอยู่โคนไม้)ตลอด ๘ เดือน(นอกฤดูฝน)
เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ (๑)ไม่ได้เห็น (๒)ไม่ได้ยิน
(๓)ไม่ได้รังเกียจ เมื่อพระพุทธเจ้าไม่อนุญาตตามที่พระเทวทัตร้องของ
จึงป่าวประกาศว่าพระพุทธเจ้านั้น ไม่เคร่งครัด ปฏิบัติไม่ดี
ใช้เหตุเหล่านี้เป็นข้ออ้างทำลายพระพุทธเจ้าเพื่อให้ภิกษุทั้งหลายนั้น
เห็นว่าตนเองเคร่ง จึงทำให้ภิกษุ เมืองเวสาลีผู้บวชเข้ามาใหม่
ยังไม่รู้ในพระธรรมวินัยศึกษาพระธรรมยังไม่ถ่องแท้ จำนวน๕๐๐ เดินตามพระเทวทัต
กาลนั้นมีพระสาลีบุตรและพระโมคลานะได้ติดตามพระเทวทัตไปด้วย
พระเทวทัตเกิดหลงดีใจว่า แม้แต่พระอรหันต์ผู้หลุดพ้นยังเดินตามตน
เมื่อนั่นพระเทวทัตได้เทศนาธรรมให้ภิกษุ๕๐๐นั้นฟังว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรมอันเราแสดงดีแล้วจึงทำให้พระสาลีบุตรและพระโมคคัลลานะยังต้องเดินตามเรามา
เมื่อแสดงธรรมจบแล้วด้วยความเชื่อใจพระสาลีบุตรและพระโมคคัลลนะจึงสั่งให้ทั้งสองแสดงธรรมแทนตนเอง
แล้วพระเทวทัตก็นอนหลับไป พระโมคลานะและพระสาลีบุตร ได้แสดงธรรมจบทำให้พระบวชใหม่ทั้ง๕๐๐
เห็นในธรรมชัดเจนจึงกลับไปหาพระพุทธเจ้าดังเดิม
เหลือเพียงไม่กี่รูปที่อยู่กับพระเทวทัตต่อ
พระเทวทัตตื่นขึ้นมาเห็นสาวกของตนหายไปแทบหมดสิ้น ก็ตกใจ
กระวนกระวายจนทำให้ร่างกายทรุดลง ต่อมาเมื่อป่วยหนักขึ้น จึงเกิดความสำนึกผิด
จึงคิดอยากจะกลับไปกราบขอขมากับพระพุทธเจ้า
จึงให้สาวกที่เหลือของตนพาตนเองไปพบพระพุทธเจ้า
เมื่อเดินทางมาถึงหน้าพระเชตวันมหาวิหาร จึงหยุดเพื่อที่จะฉันน้ำ
ทันใดที่เท้าทั้งสองเหยียบลงสู่พื้นดิน
ปรากฏว่าพื้นดินแยกออกเป็นทางดึงดูดพระเทวทัตลงไปยังอเวจีมหานรก
เนื่องจากพระเทวทัตได้ทำอนัตริยกรรม กรรมอันหนัก ๕ ประการ คือการ
ยุยงให้พระเจ้าอชาติศรัตตรูฆ่าบิดาของตนเอง ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก
ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด และมีจิตใจริสยาในพระพุทธเจ้า
ผลกรรมของพระเทวทัตคือจะต้องตกสู่อเวจีมหานรกสถานเดียว
แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่สามารถช่วยเหลือได้ ในเรื่องของพระเทวทัตนี้
นำมาเทศนาให้กับพุทธบริษัทได้ฟังไว้เพื่อการปฏิบัติบำเพ็ญ
ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ได้อัญเชิญยกไว้ในเบื้องต้น ว่า สุโข ปุญญัสสะอุจโย
การสั่งสมบุญสั่งสมกุศล นำมาซึ่งความผาสุข ความเจริญแห่งตน
ความจริงในพุทธกาลนั้นมีผู้ที่ถูกธรณีสูป ถึง๕ คนด้วยกันแต่เนื่องด้วยเวลาการแสดงพระธรรมเทศนาก็ถึงเวลาอันสมควรจะหยิบยกมาเทศนาให้ฟังในคราวถัดไป
สำหรับวันนี้อาตมาก็ขออารธนาคุณพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
จงเป็นที่พึงให้แก่สาธุชนทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยจตุรพิศพรทั้ง๔ประการ คือ อายุ
วรรณะ สุขะ พละ ปฏิพาล ธรรมสารสมบัติ ครบถ้วนเทอญฯ ขอเจริญพร
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น