วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เทศนาธรรม๑๗กุมภาพันธ์๒๕๕๘

นะโมตสฺส ภะคะวะโต  อะระหะโต สมฺมาสมฺพุท ธสฺส
สุโข ปุญญสฺส อุจโยติ
          ณ โอกาสบัดนี้ อาตมาจักแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงความดี แห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ธรรมแห่งองค์สมเด็จพระชินศรี ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด เพื่อประดับปัญญาแห่งพุทธบริษัททั้งหลาย พอสมควรแก่เวลาจึงจะขอยุติการเทศนาลง ดังพุทธศาสนาสุภาษิตที่ได้อัญเชิญไว้ในเบื้องต้น ว่า
สุโข ปุญญสฺส อุจโย
แปลความว่า การสั่งสมบุญสั่งสมกุศล จะนำมาซึ่งความสุขแห่งตน

            หลังจากที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเทศนาไว้หลายพระสูตรด้วยกัน ที่นำมาซึ่งการฟังพระธรรมเทศนาให้เกิดบุญเกิดกุศล อาตมาได้ไปจาริกแสวงบุญ ยังประเทศอินเดีย-เนปาล ในอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงได้ทราบความจริงหลายประการ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ให้ทุกท่านได้ศึกษาและหาความรู้ไปด้วยกัน หลายๆคนคิดว่าการไปยังประเทศอินเดียนั้นไปเพื่อเที่ยวเพื่อความสนุกสนาน แต่การไปยังอินเดียนั้นทำให้ได้ศึกษาในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น พระพุทธเจ้าได้แนะนำสั่งสอนชาวอินเดียในเรื่องต่างๆมากมายจนมีผู้บรรลุพระโสดาบันก็เยอะแยะมากมาย ในสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์   พระเทวทัตพร้อมด้วยพระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัตต์ เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลขอวัตถุ ๕ ประการ ดังนี้ (๑) ภิกษุควรอยู่ป่าตลอดชีวิต (๒) ภิกษุควรเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต (๓) ภิกษุควรถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต (๔) ภิกษุควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต(๕)ภิกษุไม่ควรฉันปลาและเนื้อ
พระพุทธตรัสห้ามว่า  อย่าเลยเทวทัตต์ ภิกษุใดปรารถนาอยู่ป่าก็จงอยู่ป่า ความว่าการถือธุดงค์ในป่านั้นต้องเป็นภิกษุผู้ที่ปรารถนาที่จะทำเท่านั้น เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงนึกถึงภิกษุที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ ภิกษุผู้ที่ไม่พร้อมจะอยู่ในป่าจึงสั่งห้ามไม่อนุญาต ภิกษุใดปรารถนาอยู่บ้านก็จงอยู่ บ้าน ภิกษุใดปรารถนาเที่ยวบินฑาตรก็จงเที่ยวบิณฑบาต เพราะเหตุหลายประการที่ภิกษุบางรูปไม่สามารถออกบินฑบาตรได้จึงไม่อนุญาตให้ภิกษุต้องถือเที่ยวบินฑบาตรเป็นนิจ ภิกษุใดปรารถนาในกิจนิมนต์ก็จงยินดีการนิมนต์ ภิกษุใดปรารถนาถือผ้าบังสุกุลก็จงถือผ้าบังสุกุล ภิกษุใดปรารถนาผ้าคฤหบดีนำมาถวายก็จงยินดีผ้า คฤหบดี เราอนุญาตรุกขมูล(การอยู่โคนไม้)ตลอด ๘ เดือน(นอกฤดูฝน) เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ (๑)ไม่ได้เห็น (๒)ไม่ได้ยิน (๓)ไม่ได้รังเกียจ เมื่อพระพุทธเจ้าไม่อนุญาตตามที่พระเทวทัตร้องของ จึงป่าวประกาศว่าพระพุทธเจ้านั้น ไม่เคร่งครัด ปฏิบัติไม่ดี ใช้เหตุเหล่านี้เป็นข้ออ้างทำลายพระพุทธเจ้าเพื่อให้ภิกษุทั้งหลายนั้น เห็นว่าตนเองเคร่ง จึงทำให้ภิกษุ เมืองเวสาลีผู้บวชเข้ามาใหม่ ยังไม่รู้ในพระธรรมวินัยศึกษาพระธรรมยังไม่ถ่องแท้ จำนวน๕๐๐ เดินตามพระเทวทัต กาลนั้นมีพระสาลีบุตรและพระโมคลานะได้ติดตามพระเทวทัตไปด้วย พระเทวทัตเกิดหลงดีใจว่า แม้แต่พระอรหันต์ผู้หลุดพ้นยังเดินตามตน เมื่อนั่นพระเทวทัตได้เทศนาธรรมให้ภิกษุ๕๐๐นั้นฟังว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรมอันเราแสดงดีแล้วจึงทำให้พระสาลีบุตรและพระโมคคัลลานะยังต้องเดินตามเรามา เมื่อแสดงธรรมจบแล้วด้วยความเชื่อใจพระสาลีบุตรและพระโมคคัลลนะจึงสั่งให้ทั้งสองแสดงธรรมแทนตนเอง แล้วพระเทวทัตก็นอนหลับไป พระโมคลานะและพระสาลีบุตร ได้แสดงธรรมจบทำให้พระบวชใหม่ทั้ง๕๐๐ เห็นในธรรมชัดเจนจึงกลับไปหาพระพุทธเจ้าดังเดิม เหลือเพียงไม่กี่รูปที่อยู่กับพระเทวทัตต่อ พระเทวทัตตื่นขึ้นมาเห็นสาวกของตนหายไปแทบหมดสิ้น ก็ตกใจ กระวนกระวายจนทำให้ร่างกายทรุดลง ต่อมาเมื่อป่วยหนักขึ้น จึงเกิดความสำนึกผิด จึงคิดอยากจะกลับไปกราบขอขมากับพระพุทธเจ้า จึงให้สาวกที่เหลือของตนพาตนเองไปพบพระพุทธเจ้า เมื่อเดินทางมาถึงหน้าพระเชตวันมหาวิหาร จึงหยุดเพื่อที่จะฉันน้ำ ทันใดที่เท้าทั้งสองเหยียบลงสู่พื้นดิน ปรากฏว่าพื้นดินแยกออกเป็นทางดึงดูดพระเทวทัตลงไปยังอเวจีมหานรก เนื่องจากพระเทวทัตได้ทำอนัตริยกรรม กรรมอันหนัก ๕ ประการ คือการ ยุยงให้พระเจ้าอชาติศรัตตรูฆ่าบิดาของตนเอง ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด และมีจิตใจริสยาในพระพุทธเจ้า ผลกรรมของพระเทวทัตคือจะต้องตกสู่อเวจีมหานรกสถานเดียว แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่สามารถช่วยเหลือได้ ในเรื่องของพระเทวทัตนี้ นำมาเทศนาให้กับพุทธบริษัทได้ฟังไว้เพื่อการปฏิบัติบำเพ็ญ ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ได้อัญเชิญยกไว้ในเบื้องต้น ว่า สุโข ปุญญัสสะอุจโย การสั่งสมบุญสั่งสมกุศล นำมาซึ่งความผาสุข ความเจริญแห่งตน ความจริงในพุทธกาลนั้นมีผู้ที่ถูกธรณีสูป ถึง๕ คนด้วยกันแต่เนื่องด้วยเวลาการแสดงพระธรรมเทศนาก็ถึงเวลาอันสมควรจะหยิบยกมาเทศนาให้ฟังในคราวถัดไป สำหรับวันนี้อาตมาก็ขออารธนาคุณพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงเป็นที่พึงให้แก่สาธุชนทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยจตุรพิศพรทั้ง๔ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิพาล ธรรมสารสมบัติ ครบถ้วนเทอญฯ ขอเจริญพร เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น